สถานีรถไฟหัวหิน ตั้งอยู่ถนนพระปกเกล้า ตำบลหัวหิน อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นสถานีรถไฟชั้น 2 ของทางรถไฟสายใต้ ทางด้านอาคารสถาปัตยกรรมได้รับยกย่องเป็นอาคารอนุรักษ์ อาคารหลังแรกก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2454 แต่อาคารที่เห็นในปัจจุบัน สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2469 โดยพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการรถไฟ แห่งกรุงสยาม ซึ่งได้จากการยกอาคารไม้ที่จะใช้ในงานสยามรัฐพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีแผนจะจัดที่สวนลุมพินีเมื่อปลายปี พ.ศ. 2468 แต่ไม่ได้มีการจัดจริงเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต และ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสให้เลิกจัดงานดังกล่าว เมื่อ 2 มกราคมพ.ศ. 2468 (นับอย่างปัจจุบันต้องปี พ.ศ. 2469 เพราะอยู่ในปี ค.ศ. 1926)
สถานีรถไฟในประเทศไทยเป็นสถานที่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ส่วนใหญ่ยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมๆ ไว้ สถานีรถไฟหัวหินเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เป็นสถานีที่มีขึ้นพร้อมกับชื่อเสียงของหาดหัวหิน นอกจากจะได้ชมสถาปัตยกรรมของสถานีรถไฟแล้ว ยังมีพลับพลาเก่าสมัยรัชกาลที่ 6 และหัวจักรรถไฟไอน้ำรุ่นเก่าสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ชม
ที่ตั้งและการเดินทาง ถ.ดำเนินเกษม ต.หัวหิน อ.หัวหิน
รถยนต์ส่วนตัว จากตัวเมืองหัวหิน ใช้ ถ.ดำเนินเกษมผ่านเทศบาลเมืองหัวหินแล้วตรงไปจนสุดถนน ถ.สถานีรถไฟ
รถรับจ้าง ขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากสถานีขนส่งหัวหิน ราคา 20 บาท
รถไฟ ขึ้นรถไฟกรุงเทพฯหัวหิน ลงที่สถานีหัวหิน
สิ่งน่าสนใจ
พลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ เป็นพลับพลาไม้ทรงจัตุรมุขทาสีครีมหลังคาสีแดง ประตูบานเฟี้ยม เดิมชื่อพลับพลาสนามจันทร์ เพราะย้ายมาจากพระราชวังสนามจันทร์ จ.นครปฐม พลับพลานี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตรการฝึกซ้อมของกองเสือป่า
ต่อมาในปี พ.ศ.2511 สมัย พ.อ.แสง จุลจาริตต์ เป็นผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้รื้อพลับพลานี้มาปลูกสร้างใหม่ที่สถานีรถไฟหัวหิน เพื่อเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในคราวที่เสด็จประพาสหัวหินโดยรถไฟ
หัวจักรรถไฟไอน้ำรุ่นเก่า ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพลับพลาพระมงกุฎเกล้าฯ เรียกว่ารถไฟบอลด์วิน ทำในประเทศอังกฤษ ซึ่งการรถไฟไทยเคยนำมาใช้ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หัวจักรรถไฟที่สถานีหัวหินเครื่องนี้ ซื้อมาจัดแสดงไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาวิวัฒนาการของรถไฟไทย รถไฟไอน้ำชนิดนี้ต้องจอดเติมน้ำและฟืนเป็นระยะตามสถานีใหญ่ๆ ที่เป็นจุดเติมเชื้อเพลิง จึงมีพ่อค้าแม่ค้าเดินเร่ขายอาหารจำนวนมาก แต่ละสถานีจะมีอาหารขึ้นชื่อต่างกันไป เช่น สถานีนครปฐมมีข้าวหลามและหมี่กะทิ สถานีเพชรบุรีมีขนมหม้อแกง เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น